การจำแนก Letter of Credit (L/C) ...ต่อ...

จำแนกตามลักษณะการใช้

  • Back-To-Back Letter of Credit คือ กรณีที่ผู้ส่งสินค้าออกไม่ใช่ผู้ผลิต หรือ มีสินค้าไม่เพียงพอ จำเป็นต้องจัดหาสินค้าจากผู้ผลิต หรือซื้อจากผู้อื่นอีกต่อหนึ่ง หรือเป็นพ่อค้าคนกลางเป็นผู้เสนอขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ โดยเป็นผู้ติดต่อซื้อสินค้าที่ผู้ซื้อต้องการจากแหล่งผู้ขายสินค้า เมื่อตกลงซื้อขายสินค้ากันแล้วผู้ซื้อจะขอให้ธนาคารเปิด L/C ไปให้ผู้ส่งออก หรือพ่อค้าคนกลาง เมื่อผู้ส่งออกหรือพ่อค้าคนกลางได้รับ L/C ที่ผู้ซื้อเปิดมา ผู้ส่งออกหรือพ่อค้าคนกลางจะให้ธนาคารของตนเปิด L/C ให้แก่ผู้ผลิตหรือผู้ขายสินค้าซึ่งในการเปิด L/C ครั้งนี้จะมี L/C ฉบับที่ผู้ซื้อเปิดมายังผู้ส่งออก หรือพ่อค้าคนกลางเป็นตัวสนับสนุน การเปิด L/C ชนิดนี้ อาจเปิดด้วยสาเหตุ ว่า L/C ที่ได้รับมาไม่ใช่ L/C ที่สามารถโอนได้ หรือถ้าโอนได้แต่อาจจะติดขัดในเรื่องที่ไม่สามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขที่ถูกต้องตรงกันกับ L/C ที่ได้โอน
  • Transferable Letter of credit คือ L/C ที่มีเงื่อนไขให้ผู้รับผลประโยชน์คนแรกสามารถโอนสินธิในตัว L/C ให้ผู้รับผลประโยชน์คนที่ 2 ได้ ซึ่งสามารถจะโอนให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายบุคคลก็ได้ (แต่ผู้รับผลประโยชน์คนที่ 2 จะโอนต่อไปให้บุคคลอื่นไม่ได้) โดยมากมักจะเกิดในกรณีที่ผู้รับผลประโยชน์คนที่ 1 เป็น นายหน้า/คนกลาง และการที่จะโอน L/C ให้ถูกต้องนั้น ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ UCP กำหนดไว้

การจำแนก Letter of Credit (L/C)

จำแนกตามกฎ UCP 500

  1. Revocable Letter of credit คือ L/C ที่เพิกถอนได้ หมายความว่าธนาคารที่เปิด L/C สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิก L/C ฉบับดังกล่าวนั้นได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้รับผลประโยชน์ หรือ ฝ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเลย
  2. Irrevocable Letter of credit คือ L/C ที่เพิกถอนไม่ได้ หมายความว่า L/C ฉบับดังกล่าวนั้น ธนาคารผู้เปิด ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิก L/C นั้นได้จนกว่าจะได้รับความยินยอมจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

จำแนกตามเงื่อนไขการจ่ายเงิน

  1. Sight Letter of credit คือ L/C ที่ธนาคารผู้เปิด จะชำระเงินให้แก่ ผู้รับผลประโยชน์ทันที ที่เอกสารดังกล่าวถูกต้องตรงตาม L/C กำหนด
  2. Time / Usance / Term Letter of Credit คือ L/C ที่ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับการชำระเงินจากธนาคารผู้เปิด L/C ฉบับนั้นเมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดใน L/C แล้วเท่านั้น ซึ่งระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับ L/C แต่ละฉบับ โดยปกติมักจะมีระยะเวลาตั้งแต่ 30-180 วัน

จำแนกตามลักษณะการใช้

  1. Normal Letter of credit คือ L/C ที่กำหนดจำนวนเงินและระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน และเมื่อใช้จนครบระยะเวลาของ L/C แล้วก็เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาของ L/C ฉบับนั้นจะใช้หมุนเวียนต่อไปไม่ได้
  2. Confirmed Letter of credit คือ L/C ที่มีธนาคารอีกแห่งหนึง่เรียกว่า The Confirming Bank (ธนาคารผู้ยืนยัน L/C) มายืนยัน และผูกพันภาระในการชำระเงินตาม L/C ดังกล่าว เป็นการสร้างความมั่นใจ 2 เท่าให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ว่า แม้ธนาคารผู้เปิด L/C จะไม่สามารถชำระเงินดังกล่าวได้ ก็ยังมีธนาคารอีกแห่งหนึ่ง ผูกพันภาระในการชำระเงิน
  3. Standby Letter of credit คือ L/C ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เป็นหนังสือค้ำประกันไม่มีเอกสารประกอบโดยธนาคารในประเทศหนึ่งส่งไปยังธนาคารในอีกประเทศหนึ่งเพื่อค้ำประกันธุรกิจที่มีขนาดใหญ่เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เช่น บริษัทในประเทศไทยสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทในประเทศอินเดีย และเกิดไม่แน่ใจคุณภาพสิ้นค้าที่สั่งซื้อ ผู้ซื้อในประเทศไทยขอให้ผู้ขายในประเทศอินเดียเปิด Stanby L/C เพื่อค้ำประกันคุณภาพสินค้าที่ผู้ขายส่งไปให้แก่ผู้ซื้อ ถ้าสินค้าที่ซื้อไป ไม่ได้คุณภาพตามที่ตกลงกันไว้ผู้ซื้อสามารถเบิกเงินคืนจากธนาคารผู้เปิด แต่ต้องระวังไม่ให้ L/C หมดอายุ
  4. Red Clause Letter of credit คือ L/C ที่มีสาระสำคัญของเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินล่วงหน้า โยผู้ซื้อจะขอให้ธนาคารผู้เปิด จ่ายเงินล่วงหน้าบางส่วนหรือทั้งหมดให้ผู้รับผลประโยชน์ตาม L/C เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดเตรียมสินค้า โดยมีข้อผูกพันว่าจะต้องส่งสินค้าแล้วจัดเตรียมเอกสารที่ถูกต้องมาให้ภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ ส่วนเงินที่เหลือให้เบิกหลังเมื่อส่งสินค้าเรียบร้อยแล้ว
  5. Revolving Letter of credit คือ L/C ชนิดที่สามารถกลับมามีค่าขึ้นมาใหม่หลังจาก L/C ฉบับนั้นได้ถูกนำมาใช้แล้วโดยมิต้องทำการเปิดใหม่ หรือทำการแก้ไข (Amendment) นิยมกัน 2 ชนิดย่อย ดังนี้

  • Cumulative Revolving Letter of credit คือ L/C ไม่หมดในงวดนั้น ย่อมมีสินธิที่จะนำยอดเงินที่เหลือไปใช้ในงวดต่อไป
  • Non-Cumulative Revolving Letter of credit คือ L/C ชนิดหมุนเวียนเมื่อใช้ L/C ไม่หมดในงวดนั้นย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำยอดคงเหลือไปใช้ในงวดต่อไป

ขั้นตอนของ Letter of Credit (L/C)

ขั้นที่ 1 ผู้ซื้อ-ผู้ขาย ตกลงซื้อขายโดยชำระเงินโดยวิธี Letter of credit
ขั้นที่ 2 ผู้ซื้อ ยื่น L/C
ขั้นที่ 3 ธนาคารทำการเปิด L/C ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขาย) ผ่านธนาคารตัวแทน
ขั้นที่ 4 ธนาคารตัวแทนทำการแจ้ง L/C ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขาย)
ขั้นที่ 5 ผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขาย) ทำการจัดส่งสินค้า
ขั้นที่ 6 ผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขาย) ยื่นเอกสารกับธนาคารตัวแทนเพื่อขอขึ้นเงิน
ขั้นที่ 7 ธนาคารตัวแทนจัดส่งเอกสารให้กับธนาคารผู้เปิด L/C
ขั้นที่ 8 ธนาคารผู้เปิด L/C ทำการตรวจสอบเอกสาร หากถูกต้องจะทำการชำระเงิน
ขั้นที่ 9 ผู้ขายรับเงินค่าสินค้า ผู้ซื้อรับเอกสาร
ขั้นที่ 10 ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าให้กับธนาคารผู้เปิด L/C
ขั้นที่ 11 ผู้ซื้อดำเนินการรับสินค้า

Letter of Credit (L/C)

หมายถึง ตราสารหรือหนังสือรับรองที่ออกโดยธนาคารในประเทศผู้ซื้อให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขายสินค้า) ในต่างประเทศโดยผ่านทางธนาคารตัวแทนของธนาคารผู้เปิดเครดิต และเป็นการยืนยันพันธะผูกพันว่าเมื่อผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขายสินค้า) ได้ปฎิบัติตามเงื่อนไข และข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ใน Letter of Credit อย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ธนาคารที่เป็นผู้เปิดตราสารนั้นจะชำระเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ (ผู้ขายสินค้า) โดยกระบวนการของ Letter of Credit มีผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้

Applicant : ผู้ที่ยื่นคำขอเปิด L/C กับธนาคาร อาจเรียกชื่อต่างๆ กัน เช่น Importer, Opener, Accountee, Buyer
Issuing Bank หรือ Opening Bank : ธนาคารผู้เปิด L/C ให้ตามคำขอของ Applicant
Beneficiary : คือผูรับผลประโยชน์ ที่เรียกเก็บใน L/C เป็นบุคคลที่จะได้รับการชำระเงินจากธนาคารที่เปิด L/C อาจเรียกชื่อต่างๆกัน เช่น Seller, Shipper, Exporter
Advising Bank : ธนาคารผู้ที่ได้รับ L/C ที่ Issuing Bank เปิดมาซึ่งจะมาทำการแจ้ง L/C ดังกล่าวให้แก่ Beneficiary (ผู้รับผลประโยชน์)
Confirming Bank : ธนาคารที่เข้ามาผูกพันการชำระเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ (แต่คนละธนาคารกับ Issuing Bank)
Negotiating Bank : ธนาคารที่รับซื้อตั๋วเงิน และเอกสารจากผู้รับผลประโยชน์ซึ่งอาจเป็นธนาคารเดียวกับ Advising Bank หรือธนาคารอื่นที่ผู้รับผลประโยชน์เป็นลูกค้าอยู่


ตัวอย่างคำขอเปิด Letter of Credit

ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารกรุงไทย
ธนาคารกสิกรไทย

Incoterms 2000

เป็นข้อตกลงทางการค้า ว่าด้วยเรื่องการส่งมอบสินค้า ที่ผู้ซื้อและผู้ขาย ทำการตกลงกัน เป็นการตกลงที่เป็นสากล เรื่องภาระค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า และความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสินค้า ข้อตกลงมีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่มด้วยกัน

กลุ่ม EEXW (EX Works)

EX WORKS (…name place)
Ex Works หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ณ สถานที่ของผู้ขาย (เช่น โรงงาน โกดัง เป็นต้น) โดยที่ผู้ขายไม่ต้อวทำการผ่านพิธีการศุลกากรขอออก และไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำสินค้าขึ้นยานพาหนะ ข้อตกลงนี้ ผู้ขายมีภาระรับผิดชอบน้อยที่สุด ส่วนผู้ซื้อรับผิดชอบในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสินค้า หลังจุดส่งมอบที่ได้ตกลงกันไว้
ค่าขนส่งสินค้า (Freight) – ผู้ซื้อ
ประกันภัย (Insurance) – ผู้ซื้อ


กลุ่ม FFCA (Free CArrier)

Free CArrier (…named place)
Free Carrier หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับขนส่งที่ผู้ซื้อได้กำหนดมา ณ สถานที่ที่ได้ตกลงกันไว้ รวมถึงการผ่านพิธีการส่งออกด้วย จุดสำคัญ คือ สถานที่ส่งมอบสินค้านั้นมีผลในภาระของการบรรทุกสินค้าขึ้น และการนำสินค้าลง ณ สถานที่ดังกล่าว เพราะถ้าการส่งมอบเกิดขึ้นที่จุด สถานที่ฝ่ายผู้ขาย ตัวผู้ขายมีภาระรับผิดชอบในการนำสินค้าบรรทุกขึ้นยานพาหนะ แต่ถ้าการส่งมอบสินค้าเกิดที่จุดอื่นๆ ผู้ขายไม่ต้องรับภาระรับผิดชอบในการนำสินค้าลงจากยานพาหนะ เงื่อนไขนี้สามารถใช้ได้กับการขนส่งทุกประเภท รวมถึงการขนส่งหลายรูปแบบ
Carrier (ผู้รับขนส่ง) หมายถึงบุคคลในสัญญาการขนส่ง ที่รับหน้าที่ในการจัดการ จัดหา ดำเนินการขนส่ง ไม่ว่าจะทาง รถไฟ รถยนต์ ทะเล อากาศ แม่น้ำ บก หรือหลายทางรวมกัน ถ้าผู้ซื้อได้กำหนดให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัว ผู้รับขนส่งเป็นผู้รับสินค้า ผู้ขายก็ถือเอาว่าภาระรับผิดชอบจะสิ้นสุดลงเมื่อได้ส่งมอยสินค้าให้แก่บุคคลดังกล่าวแล้ว

FAS (Free Alongside Ship)

Free Alongside Ship (…named port of shipment)
Free Alongside Ship หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้า ณ ข้างลำเรือที่ท่าเรือต้นทาง นั้นคือค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ณ จุดนั้นจะเป็นภาระรับผิดชอบของผู้ซื้อ ข้อตกลงนี้ผู้ขายมีหน้าที่ในการผ่านพิธีการส่งออก เทอมนี้ใช้กับการขนส่งทางทะเล หรือ แม่น้ำเท่านั้น

FOB (Free On Board)

Free on Board (…named port of shipment)
Free on Board หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าผ่านกราบเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง และผู้ซื้อมีภาระรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในสินค้าที่อาจจะสูญหาย หรือเสียหายขึ้นนับจากจุดส่งมอบดังกล่าว ข้อตกลงนี้ผู้ขายจะเป็นฝ่ายผ่านพิธีการส่งออก ข้อตกลงนี้ใช้กับการขนส่งทางทะเล หรือแม่น้ำเท่านั้น

กลุ่ม CCFR (Cost and FReight)

Cost and FReight (…named port of destination)
Cost and Freight หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าผ่านกราบเรือ ณ ท่าเรือปลายทาง ผู้ขายมีหน้าที่จ่ายค่าใช้จ่าย และค่าขนส่งสินค้าจากต้นทางไปจนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงอันเกิดจากสินค้าเสียหายขึ้นหลังหลังจากสินค้าผ่านกราบเรือ หรือรวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเหตุการณ์ดังกล่าว นั้นเป็นภาระของผู้ซื้อ ข้อตกลงนี้ ผู้ขายมีหน้าที่ผ่านพิธีการส่งออก ข้อตกลงนี้ใช้กับการขนส่งทางทะเล หรือ แม่น้ำเท่านั้น

CIF (Cost, Insurance and Freight)

Cost, Insurance and Freight (…named port of destination)
Cost, Insurance and Freight หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าผ่านกราบเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง และผู้ขาย มีหน้าที่จ่ายค่าใช้จ่าย และขนส่งสินค้าจากต้นทางไปจนถึงท่าเรือปลายทาง แต่ความเสี่ยงอันเกิดจากสินค้าเสียหายขึ้นหลังจากสินค้าผ่านกราบเรือ หรือรวมถึงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเหตุการณ์ดังกล่าว นั้นเป็นภาระของผู้ซื้อ อย่างไรก็ตาม เอมนี้ผู้ขายมีหน้าที่จัดหาประกันภัยแก่สินค้าที่สูญหาย หรือเสียหายระหว่างการขนส่งสินค้าที่ผู้ซื้อเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ดังนั้น ผู้ขายเป็นฝ่ายทำประกันภัย และชำระค่าเบี้ยประกันภัย และข้อตกลงนี้ผู้ซื้อควรจะตระหนักไว้ว่า ผู้ขายมีภาระในการทำประกันภัยที่คุ้มครองขั้นต่ำที่สุด ถ้าผู้ซื้อต้องการให้การประกันภัยครอบคลุมความเสี่ยงมากกว่าเดิม ก็ควรต้องตกลงกันให้ชัดเจน ข้อตกลงนี้ผู้ขายมีหน้าที่ผ่านพิธีการส่งออก
ข้อตกลงนี้ใช้กับการขนส่งทางทะเล หรือ แม่น้ำเท่านั้น

CPT (Carriage Paid To)

Carriage Paid To (…named place of destination)
Carriage Paid To หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับขนส่งตามที่ผู้ซื้อได้กำหนดมา และผู้ขายต้องมีหน้าที่ชำระค่าขนส่งจนถึงสถานที่ปลายทาง ส่วนผู้ซื้อมีการรับผิดชอบในความเสี่ยง อันเกิดจากสินค้าเสียหาย และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลังจากสินค้าได้ส่งมอบ
Carrier : ผู้รับขนส่ง หมายถึง บุคคลในสัญญาการขนส่ง ที่รับหน้าที่ในการจัดการ จัดหา ดำเนินการขนส่ง ไม่ว่าจะทาง รถไฟ รถยนต์ ทะเล อากาศ แม่น่ำ บก หรือหลายทางรวมกัน แม้ว่าการขนส่งจะผ่านผู้รับขนส่งหลายราย ก็จะถือว่าการส่งมอบสิน้าของผู้ขายสิ้นสุดแค่ผู้รับขนส่งรายแรก ข้อตกลงนี้ ผู้ขายมีหน้าที่ ในการผ่านพิธีการส่งออก

CIP (Carriage and Insurance Paid To)

Carriage and Insurance Paid to (…named place of destination)
Carriage and Insurance paid to หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้รับขนส่งตามที่ผู้ซื้อได้กำหนดมาและผู้ขายต้องมีหน้าที่ชำระค่าขนส่งจนถึงสถานที่ปลายทาง ส่วนผู้ซื้อมีภาระรับผิดชอบในความเสี่ยง อันเกิดจากสินค้าเสียหาย และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหลังจากสินค้าได้ส่งมอบ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ ผู้ขายมีหน้าที่จัดหาประกันภัยทางทะเล แก่สินค้าที่สูญหาย หรือเสียหายขึ้นระหว่างการขนส่งสินค้าที่ผู้ซื้อเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ดังนั้นผ฿ขายเป็นฝ่ายจัดทำการประกันภัยและชำระค่าเบี้ยประกันภัย

กลุ่ม DDAF (Delivered At Frontier)

Delivered At Frontier (…named place)
Delivered at frontier หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้า ณ เขตแดนที่ได้ตกลงกันไว้ ยังไม่ผ่านเขตแดนอีกฝ่ายผู้ขายต้องผ่านพิธีการส่งออก แต่ไม่ต้องผ่านพิธีการขาเข้า ไม่ต้องขนส่งสินค้าลงจากยานพาหนะ ความหมายคำว่า เขตแดน อาจจะใช้กับเขตแดนประเทศใดๆ ก็ได้รวมถึงประเทศผู้ส่งออก ดังนั้นชื่อสถานที่ดังกล่าวควรระบุให้ชัดเจนว่า ณ จุดใด สถานที่ใด อย่างไรก็ตาม ถ้าคู่ค้าต้องการที่จะให้ผู้ขายรับภาระในด้านการขนส่งสินค้าลงจากยานพาหนะ และรับภาระในค่าใช้จ่าย รวมถึงความเสี่ยงดังกล่าว ก็ควรระบุให้ขัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรในสัญญาซื้อขาย ข้อตกลงนี้ ใช้ได้กับการขนส่งทุกรูปแบบ ที่สินค้าส่งมอบกันเขตแดนทางบก ถ้าการส่งมอบเกิดขึ้นที่ท่าเรือปลายทาง ผหรือบนเรือ หรือที่ท่าเทียบเรือ ควรหันไปใช้ข้อตกลง DES หรือ DEQ แทน

DES (Delivered Ex Ship)

Delivered Ex Ship (…named port of destination)
Delivered Ex Ship หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อบนเรือ ณ ท่าเรือปลายทาง โดยที่ยังไม่ต้องผ่านพิธีการนำเข้า ผู้ขายรับภาระในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงทั้งหมด ในการขนส่งสินค้าไปถึงท่าเรือปลายทาง ก่อนการนำสินค้าลงจากเรือ
ข้อตกลงนี้ ใช้กับการขนส่งสินค้าทางทะเล หรือทางแม่น้ำ หรือการขนส่งหลายรูปแบบที่สิ้นสุดการขนส่งทางเรือเท่านั้น

– DEQ (Delivered Ex Quay)

Delivered Ex Quay (…named port of destination)
Delivered Ex Quay หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อยังท่าเทียบเรือ ณ ท่าเรือปลายทาง ยังไม่ต้องผ่านพิธีการนำเข้า ผู้ขายต้องรับภาระทั้งหมดในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าจนกว่าสินค้าจะถูกนำขึ้นจากเรือส่งมอบให้ที่ท่าเทียบเรือแล้ว
ข้อตกลงนี้ใช้กับการขนส่งสินค้าทางทะเล หรือทางแม่น้ำ หรือการขนส่งหลายรูปแบบที่สิ้นสุดการขนส่งทางเรือ เท่านั้น อย่างไรก็ตามถ้าหากคู่ค้าต้องการให้ผู้ขายรับภาระในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการจัดการสินค้าจากท่าเทียบเรือไปยังสถานที่อื่น เช่น โรงพักสินค้า , โกดัง, สถานีขนส่ง ฯ ทั้งในท่าเรือ หรือนอกท่าเรือ ก็ควรใช้ข้อตกลง DDU หรือ DDP แทน

– DDU (Delivered Duty Unpaid)

Delivered Duty Unpaid (…named place of destination)
Delivered duty unpaid หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ณ สถานที่ปลายทางตามที่ตกลงกัน แต่ไม่ต้องผ่านพิธีการนำเข้า และการนำสินค้าลงจากยานพาหนะ ข้อตกลงนี้ผู้ขายต้องรับภาระในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยง ทั้งนี้ ไม่รวม ค่าภาษีอากรขาเข้า รวมไปถึงความรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ในการลำเลียงสินค้าผ่านพิธีการศุลกากร รวมถึงค่าธรรมเนียม ภาษีอกร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการนำเข้ายังสถานที่ปลายทาง ค่าภาษีอากรจะเป็นภาระของผู้ซื้อ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ และความเสี่ยงอันเกิดมาจากที่ตนไม่สามารถลำเลียงสินค้าผ่านพิธีการนำเข้าได้ทันเวลา อย่างไรก็ตาม ถ้าคู่ค้าต้องการที่จะให้ผู้ขายจัดการพิธีการนำเข้าให้ และรับภาระในค่าใช้จ่าย ตลอดจนความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว ตลอดจนค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าสินค้า ก็ควรตกลงให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรลงในสัญญาซื้อ-ขาย
ข้อตกลงนี้ใช้ได้กับการขนส่งทุกรูปแบบ แต่ถ้าจุดส่งมอบสินค้าอยู่ในลำเรือยังท่าเรือปลายทาง หรือท่าเทียบเรือ ก็ควรใช้ DES หรือ DEQ แทน

– DDP (Delivered Duty Paid)

Delivered Duty Paid (…named place of destination)
Delivered duty paid หมายถึง ผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ ณ สถานที่ปลายทางตามที่ตกลงกัน รวมถึงการผ่านพิธีการนำเข้า โดยที่ยังไม่ต้องขนสินค้าลงจากยานพาหนะที่ขนส่งไปถึง ผู้ขายต้องรับภาระในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงในการนำเข้าสินค้าไปยังจุดส่งมอบดังกล่าว รวมถึง “ภาษีอากร” รวมไปถึงความรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ในการลำเลียงสินค้าผ่านพิธีการศุลกากร รวมถึงการชำระค่าธรรมเนี่ยม ภาษี อากร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการนำเข้ายังสถานที่ปลายทาง ในขณะที่ข้อตกลง EXW ผู้ขายมีภาระน้อยที่สุด แต่ข้อตกลง DDP ผู้ขายมีภาระมากที่สุดข้อตกลงนี้ไม่ควรนำมาใช้ถ้าหากผู้ขายไม่สามารถที่จะจัดหาใบอนุญาตการนำเข้า ไม่ว่าโดยทางตรง หรือทางอ้อม อย่างไรก็ตามถ้าคู่ค้าไม่ต้องการให้ผู้ขายจ่ายค่าใช้จ่ายบางอย่างซึ่งต้องชำระในการนำเข้าสินค้า เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ควรตำลงกันให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรในสัญญาซื้อ-ขาย ถ้าคู่ค้าต้องการให้ผู้ซื้อรับภาระในค่าใช้จ่าย และความเสี่ยง ในการนำเข้า ก็ควรเลือกใช้ข้อตกลง DDU แทน
ข้อตกลงนี้ใช้ได้กับการขนส่งทุกประเภท แต่ถ้าการส่งมอบเกิดในเรือที่ท่าเรือปลายทาง หรือ ท่าเทียบเรือ ก็ควรเลือกใช้ DES หรือ DEQ แทน